ความหมายและที่มาของสำนวน “กำแพงมีหูประตูมีตา”
สำนวน “กำแพงมีหู ประตูมีตา” หมายถึง การที่ความลับไม่อาจปกปิดได้มิดชิด ไม่ว่าที่ไหนก็อาจมีคนรู้เห็นได้เสมอ หรือสถานที่ที่ดูเหมือนจะมิดชิดก็อาจมีคนแอบฟังแอบดูอยู่ได้
ที่มาของสำนวนนี้ สันนิษฐานว่าน่าจะมาจากความเชื่อและประสบการณ์จริงในอดีต ที่สะท้อนให้เห็นว่า:
- การก่อสร้างในอดีต: บ้านเรือนในสมัยก่อน มักสร้างด้วยวัสดุธรรมชาติ เช่น ไม้ ดิน ใบจาก กำแพงและประตูจึงอาจมีช่องว่าง รอยแตก หรือรู ที่เปิดโอกาสให้ผู้คนสามารถแอบมอง แอบฟังได้
- การซุบซิบนินทา: ธรรมชาติของมนุษย์ มักชอบพูดคุยเรื่องราวของผู้อื่น แม้จะเป็นเรื่องส่วนตัวหรือความลับก็ตาม ทำให้เรื่องราวต่างๆ แพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว เปรียบเสมือนกำแพงและประตูที่มีหูและตา คอยรับรู้และเผยแพร่ข้อมูล
- การสอดแนม: ในอดีต การแย่งชิงอำนาจหรือการทำสงคราม มักมีการส่งคนไปสอดแนม ลอบฟังข้อมูลของฝ่ายตรงข้าม ทำให้เกิดความหวาดระแวงว่าสถานที่ต่างๆ อาจมีคนแอบฟังอยู่
- วรรณคดีและนิทาน: สำนวนนี้ปรากฏอยู่ในวรรณคดีและนิทานไทยหลายเรื่อง เช่น ขุนช้างขุนแผน รามเกียรติ์ ซึ่งมักมีฉากที่ตัวละครแอบฟัง แอบดู หรือพูดคุยกันในที่ลับ แต่กลับมีผู้อื่นล่วงรู้ ยิ่งตอกย้ำความหมายของสำนวนนี้ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
ตัวอย่างการใช้:
- “เธออย่าพูดเรื่องนี้เสียงดังไป เดี๋ยวคนอื่นจะได้ยิน กำแพงมีหู ประตูมีตานะ”
- “เราไม่ควรนินทาใครลับหลัง เพราะกำแพงมีหู ประตูมีตา วันหนึ่งเรื่องอาจถึงหูเขาได้”
- “ถึงแม้จะเป็นการประชุมลับ แต่ก็รั่วไหลออกไป เพราะกำแพงมีหู ประตูมีตาจริงๆ”
สรุป:
สำนวน “กำแพงมีหู ประตูมีตา” เป็นสำนวนเก่าแก่ที่สะท้อนถึงความจริงที่ว่า การรักษาความลับเป็นเรื่องยาก และไม่ว่าเราจะพยายามปิดบังมากแค่ไหน ก็อาจมีคนรู้เห็นได้เสมอ สำนวนนี้จึงเป็นคำเตือนใจให้เราพึงระวังคำพูดและการกระทำ เพราะทุกสิ่งที่เราทำย่อมมีคนรับรู้ ไม่ว่าช้าหรือเร็ว
ปัจจุบัน ความหมายของสำนวนนี้ยังคงใช้ได้ดี แม้เทคโนโลยีจะก้าวหน้า กำแพงและประตูอาจแข็งแรงขึ้น แต่ช่องทางการสื่อสารก็พัฒนาขึ้นเช่นกัน การแอบฟัง แอบดู หรือการเข้าถึงข้อมูลส่วนตัว ก็ทำได้ง่ายขึ้น ดังนั้น การระมัดระวังในการสื่อสารและรักษาความเป็นส่วนตัวจึงเป็นสิ่งสำคัญ