ความหมายและที่มาของสำนวน “ก่อแล้วต้องสาน”
สำนวน “ก่อแล้วต้องสาน” มีความหมายว่า เมื่อเริ่มต้นทำสิ่งใดแล้วก็ควรทำต่อไปให้เสร็จ ไม่ควรทิ้งขว้างกลางคัน ทำอะไรไม่ตลอดรอดฝั่ง ทำ ๆ หยุด ๆ ไม่รู้จักแล้วจักเสร็จ
ที่มาของสำนวนนี้ มาจากการก่อเสื่อลำแพน ซึ่งเป็นการสานเสื่อชนิดหนึ่งที่ต้องใช้ความประณีตและละเอียดอ่อนสูง ต้องนำเส้นหวายหรือไม้ไผ่มาผ่าให้เป็นเส้นเล็ก ๆ แล้วนำมาสานเป็นผืนเสื่อ ผู้สานจะต้องมีความอดทนและใจเย็นมาก เพราะต้องใช้เวลาในการสานนาน
การสานเสื่อลำแพนนั้น เริ่มต้นจากการ “ก่อ” คือ การนำเส้นตอกมาขัดกันเป็นลายพื้นฐาน จากนั้นจึง “สาน” ต่อไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะได้ผืนเสื่อที่ต้องการ ถ้าผู้สานไม่มีความอดทนหรือใจร้อน อาจทำให้เสื่อที่สานออกมาไม่สวยงามหรือใช้งานไม่ได้ ดังนั้น เมื่อก่อแล้วก็ต้องสานต่อไปให้เสร็จ
เปรียบเสมือนการทำงาน ถ้าเริ่มทำอะไรแล้วก็ต้องทำต่อไปให้เสร็จ ไม่ควรล้มเลิกกลางคัน มิฉะนั้นงานที่ทำจะไม่สำเร็จ และอาจเสียทั้งเวลาและแรงกายโดยเปล่าประโยชน์
ตัวอย่างการใช้สำนวนนี้:
- “คุณเริ่มโปรเจกต์นี้แล้วก็ต้องทำให้เสร็จนะ ก่อแล้วต้องสาน อย่าทิ้งไว้กลางทาง”
- “เขาเป็นคน ก่อแล้วไม่สาน ทำอะไรก็ไม่เคยสำเร็จสักอย่าง”
- “การเรียนหนังสือก็เหมือนกัน ก่อแล้วต้องสาน ต้องขยันหมั่นเพียรจนกว่าจะเรียนจบ”
สำนวนที่คล้ายคลึงกัน:
- พายเรือให้ถึงฝั่ง: หมายถึง ทำอะไรแล้วต้องทำให้เสร็จ
- ตักน้ำรดหัวตอ: หมายถึง ทำสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ สูญเปล่า
- จับปลาสองมือ: หมายถึง ทำหลายสิ่งหลายอย่างในเวลาเดียวกัน ซึ่งอาจทำให้ไม่ประสบความสำเร็จสักอย่าง
- เหยียบเรือสองแคม: หมายถึง ทำทีเข้าด้วยทั้ง 2 ฝ่าย
สรุป:
“ก่อแล้วต้องสาน” เป็นสำนวนไทยที่สอนให้คนมีความรับผิดชอบ มุ่งมั่น และอดทนในการทำงาน เมื่อเริ่มต้นทำสิ่งใดแล้วก็ควรทำต่อไปให้สำเร็จ ไม่ควรล้มเลิกกลางคัน