ความหมายและที่มาของสำนวน “ก้นกุฏิ”
สำนวน “ก้นกุฏิ” มีความหมายว่า ศิษย์คนโปรดที่พระอาจารย์เลี้ยงดูใกล้ชิดอยู่ด้วยภายในกุฏิ หรือ คนที่สนิทสนมกับผู้ใหญ่จนรู้ความลับหรือเรื่องราวภายในเป็นอย่างดี มักใช้ในทางที่ไม่ค่อยดีนัก สื่อถึงความสัมพันธ์ที่อาจมีผลประโยชน์แอบแฝง
ที่มาของสำนวนนี้:
มาจากคำว่า “ก้น” ซึ่งหมายถึง ส่วนท้ายสุด และ “กุฏิ” ซึ่งหมายถึง ที่อยู่ของพระภิกษุ ในสมัยก่อน พระภิกษุที่มีลูกศิษย์ใกล้ชิด อาจให้พักอาศัยอยู่ภายในกุฏิเดียวกัน ตรงบริเวณท้ายกุฏิ (ก้นกุฏิ) เพื่อคอยรับใช้และปรนนิบัติ ศิษย์ที่อยู่ก้นกุฏิจึงมีโอกาสได้รู้เห็นความเป็นไปต่างๆ และรู้ความลับของพระอาจารย์มากกว่าศิษย์คนอื่นๆ
การใช้สำนวน “ก้นกุฏิ” มักใช้ในเชิงลบ โดยแฝงความหมายดังนี้:
- คนสนิทที่รู้ความลับ: มักใช้กับคนที่ใกล้ชิดผู้ใหญ่มากจนรู้เรื่องราวภายใน ซึ่งอาจเป็นเรื่องที่ไม่ควรเปิดเผย เช่น “นายคนนั้นเป็นก้นกุฏิของเจ้าพ่อ รู้ความลับทุกอย่าง ใครๆ ก็เกรงใจ”
- คนที่ได้รับอภิสิทธิ์: มักใช้กับคนที่ได้รับความช่วยเหลือเป็นพิเศษจากผู้ใหญ่ เพราะความใกล้ชิดสนิทสนม เช่น “เขาเป็นก้นกุฏิของท่านรัฐมนตรี เลยได้เลื่อนตำแหน่งเร็ว”
- คนที่ประจบสอพลอ: บางครั้งอาจใช้กับคนที่ประจบประแจงผู้ใหญ่เพื่อหวังผลประโยชน์ เช่น “พวกก้นกุฏิมักจะคอยเอาอกเอาใจเจ้านาย เพื่อหวังความก้าวหน้า”
ตัวอย่างการใช้สำนวน “ก้นกุฏิ”:
- “เขาวิ่งเต้นหาเส้นสายจนได้เป็นก้นกุฏิของท่านอธิการบดี ตอนนี้ใครๆ ก็เกรงใจเขา”
- “ระวังคำพูดหน่อย คนนั้นเป็นก้นกุฏิของเจ้าของบริษัท เดี๋ยวจะเดือดร้อน”
- “เธอเป็นก้นกุฏิของอาจารย์ใหญ่ ถึงได้คะแนนดีทั้งๆ ที่ไม่ค่อยเข้าเรียน”
สรุป:
“ก้นกุฏิ” เป็นสำนวนที่มีที่มาจากวิถีชีวิตของพระสงฆ์ในอดีต หมายถึง ศิษย์คนโปรดที่อยู่ใกล้ชิดพระอาจารย์ภายในกุฏิ ปัจจุบันมักใช้ในเชิงลบ สื่อถึงคนที่สนิทสนมกับผู้ใหญ่จนรู้ความลับ ได้รับอภิสิทธิ์ หรือประจบสอพลอเพื่อหวังผลประโยชน์